วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พันธะโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์





 

พันธะไออนิก

พันธะไอออนิก
 
พันธะไอออนิก (อังกฤษ: ionic bond) เกิดจากที่อะตอมหรือกลุ่มของอะตอมสร้างพันธะกันโดยที่อะตอมหรือกลุ่มของอะตอมให้อิเล็กตรอนกับอะตอมหรือกลุ่มของอะตอม ทำให้กลายเป็นประจุบวก ในขณะที่อะตอมหรือกลุ่มของอะตอมที่ได้รับอิเล็กตรอนนั้นกลายเป็นประจุลบ เนื่องจากทั้งสองกลุ่มมีประจุตรงกันข้ามกันจะดึงดูดกัน ทำให้เกิดพันธะไอออน โดยทั่วไปพันธะชนิดนี้มักเกิดขึ้นระหว่างโลหะกับอโลหะ โดยอะตอมที่ให้อิเล็กตรอนมักเป็นโลหะ ทำให้โลหะนั้นมีประจุบวก และอะตอมที่รับอิเล็กตรอนมักเป็นอโลหะ จึงมีประจุลบ ไอออนที่พันธะไอออนมีความแข็งแรงมากกว่าพันธะไฮโดรเจน แต่แข็งแรงพอ ๆ กับพันธะโคเวเลนต์
 
IUPAC นิยามพันธะไอออนิกว่าเป็น "พันธะระหว่างอะตอมที่มีอิเล็กโทรเนกาทิวิตีต่างกันอย่างมาก" ในที่นี้ พันธะไอออนิก หมายถึง แรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกและไอออนลบ ซึ่งแตกต่างเปรียบเทียบกับพันธะโคเวเลนต์อย่างแท้จริง ในทางปฏิบัติ เรามักจะพิจารณาค่าความเป็นไอออนิกของพันธะ มากกว่าที่จะบอกว่าเป็นพันธะไอออนิกหรือพันธะโคเวเลนต์อย่างแท้จริง
 
  
การจัดเรียงอิเล็กตรอน ของ ลิเทียม และ ฟลูออรีน ลิเทียมมีอิเล็กตรอน 1 ตัวในวงโคจรชั้นนอกสุดของมันซึ่งอยู่อย่างหลวมๆ เพราะว่า พลังงานไอออไนเซชัน ต่ำ ฟลูออรีนมีอิเล็กตรอน 7 ตัวในวงโคจรชั้นนอกสุด เมื่ออิเล็กตรอน 1 ตัว เคลื่อนที่จากลิเทียมไปยังฟลูออรีน แต่ละ ไอออน จะจัดเรียงตัวกันแบบ ก๊าซมีตระกูล พลังงานพันธะจาก แรงดึงดูดไฟฟ้าสถิต ของสองประจุไออนที่ตรงข้ามกันมีค่าเป็นลบมากพอ เนื่องจากการที่พลังงานในสถานะที่เป็นพันธะโดยรวมต่ำกว่าสถานะที่ไม่เป็นพันธะ

สูตรชื่อธาตุ

ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

เลขอะตอมสัญลักษณ์ชื่อธาตุ
  ชื่อธาตุภาษาอังกฤษ
1Hไฮโดรเจน      Hydrogen
D (²H)ดิวเทอเรียมDeuterium
T (³H)ไตรเทียมTritium
2HeฮีเลียมHelium
3LiลิเทียมLithium
4BeเบริลเลียมBeryllium
5BโบรอนBoron
6Cคาร์บอนCarbon
7NไนโตรเจนNitrogen
8OออกซิเจนOxygen
9FฟลูออรีนFluorine
10NeนีออนNeon
11NaโซเดียมSodium
12MgแมกนีเซียมMagnesium
13AlอะลูมิเนียมAluminium หรือ Aluminum
14SiซิลิคอนSilicon
15PฟอสฟอรัสPhosphorus
16Sกำมะถัน หรือ ซัลเฟอร์Sulfur หรือ Sulphur
17ClคลอรีนChlorine
18Arอาร์กอนArgon
19KโพแทสเซียมPotassium
20CaแคลเซียมCalcium
21ScสแกนเดียมScandium
22TiไทเทเนียมTitanium
23VวาเนเดียมVanadium
24CrโครเมียมChromium
25MnแมงกานีสManganese
26Feเหล็กIron
27Coโคบอลต์Cobalt
28NiนิกเกิลNickel
29CuทองแดงCopper
30ZnสังกะสีZinc
31GaแกลเลียมGallium
32Geเจอร์เมเนียมGermanium
33AsสารหนูArsenic
34SeซีลีเนียมSelenium
35BrโบรมีนBromine
36KrคริปทอนKrypton
37RbรูบิเดียมRubidium
38SrสตรอนเชียมStrontium
39YอิตเตรียมYttrium
40Zrเซอร์โคเนียมZirconium
41NbไนโอเบียมNiobium
42MoโมลิบดีนัมMolybdenum
43TcเทคนิเซียมTechnetium
44RuรูทีเนียมRuthenium
45RhโรเดียมRhodium
46PdแพลเลเดียมPalladium
47AgเงินSilver
48CdแคดเมียมCadmium
49InอินเดียมIndium
50SnดีบุกTin
51SbพลวงAntimony
52TeเทลลูเรียมTellurium
53IไอโอดีนIodine
54XeซีนอนXenon
55CsซีเซียมCaesium
56BaแบเรียมBarium
57LaแลนทานัมLanthanum
58CeซีเรียมCerium
59PrเพรซีโอดิเมียมPraseodymium
60NdนีโอดิเมียมNeodymium
61PmโพรมีเทียมPromethium
62SmซามาเรียมSamarium
63EuยูโรเปียมEuropium
64GdกาโดลินเนียมGadolinium
65Tbเทอร์เบียมTerbium
66DyดิสโพรเซียมDysprosium
67Hoโฮล์มเมียมHolmium
68Erเออร์เบียมErbium
69TmทูเลียมThulium
70Ybอิตเตอร์เบียมYtterbium
71LuลูทีเชียมLutetium
72HfฮาฟเนียมHafnium
73TaแทนทาลัมTantalum
74WทังสเตนTungsten
75ReรีเนียมRhenium
76OsออสเมียมOsmium
77IrอิริเดียมIridium
78PtทองคำขาวหรือแพลตินัมPlatinum
79AuทองGold
80HgปรอทMercury
81TlทาลเลียมThallium
82Pbตะกั่วLead
83BiบิสมัทBismuth
84PoโปโลเนียมPolonium
85AtแอสทาทีนAstatine
86RnเรดอนRadon
87FrแฟรนเซียมFrancium
88RaเรเดียมRadium
89AcแอคทิเนียมActinium
90ThธอเรียมThorium
91PaโพรแทคทิเนียมProtactinium
92UยูเรเนียมUranium
93NpเนปจูเนียมNeptunium
94PuพลูโตเนียมPlutonium
95AmอเมริเซียมAmericium
96CmคูเรียมCurium
97Bkเบอร์คีเลียมBerkelium
98Cfแคลิฟอร์เนียมCalifornium
99Esไอน์สไตเนียมEinsteinium
100Fmเฟอร์เมียมFermium
101MdเมนเดลเลเวียมMendelevium
102NoโนเบลเลียมNobelium
103Lrลอว์เรนเซียมLawrencium
104Rfรูเทอร์ฟอร์เดียมRutherfordium
105DbดุบเนียมDubnium
106Sgซีบอร์เกียมSeaborgium
107Bhโบห์เรียมBohrium
108HsฮัสเซียมHassium
109Mtไมต์เนเรียมMeitnerium
110Dsดาร์มสตัดเทียมDarmstadtium
111Rgเรินต์เกเนียมRoentgenium
112UubอุนอุนเบียมUnunbium
113UutอุนอุนเตรียมUnuntrium
114UuqอุนอุนควอเดียมUnunquadium
115UupอุนอุนเพนเทียมUnunpentium
116Uuhอุนอุนเฮ็กเซียมUnunhexium
117UusอุนอุนเซปเทียมUnunseptium
118UuoอุนอุนออคเทียมUnunoctium

ตารางธาตุ




  • อะตอม (atom) คือนุภาคที่เล็กที่สุดของสสาร อะตอมไม่อยู่ตามลำพัง แต่จะรวมอยู่กับอะตอมอื่นอย่างเป็นระบบ
    ส่วนประกอบของอะตอม คือ อิเล็กตรอน (e) โปรตอน (p) และนิวตรอน (n) โปรตอนและนิวตรอนอยู่ตรงกลาง คือนิวเคลียส อิเล็กตรอนเคลื่อนที่วนอยู่รอบนิวเคลียส
    ธาตุ คือ สสารที่โมเลกุลประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน เช่น โมเลกุลของก๊าซออกซิเจน (O2) ประกอบด้วยอะตอมของธาตุออกซิเจน 2 อะตอม
    สัญลักษณ์ของธาตุ หมายถึง เครื่องหมายซึ่งใช้แทนชื่อธาตุเพื่อให้เข้าใจตรงกันเป็นสากล
    สัญลักษณ์ของธาตุที่เป็นรูปภาพ ซึ่งจอห์น ดอลตัล เป็นคนแรกที่เสนอให้ใช้รูปภาพแทนชื่อธาต
    สัญลักษณ์ของธาตุที่เป็นตัวอักษร
    ซึ่ง โจนส์ จาคอบ เบอร์ซีเลียส เป็นผู้เสนอให้ใช้ตัวอักษรแทนชื่อธาตุและเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน โดยมีหลักการเขียนดังนี้
  • 1. ถ้าธาตุนั้นมีชื่อภาษาละติน ให้นำตัวอักษรตัวแรกมาเขียนด้วยอักษรภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของธาตุนั้น ถ้าอักษรตัวแรกซ้ำกับธาตุอื่นให้เพิ่มตัวอักษรตัวถัดไปตัวใดตัวหนึ่งเขียนด้วยตัวพิมพ์เล็ก เช่น ธาตุโพแทสเซียม ชื่อภาษาละติน Kalium สัญลักษณ์ของธาตุ คือ K ธาตุเงิน ชื่อภาษาละติน Argentum สัญลักษณ์ของธาตุ คือ Ag
    2. ถ้าธาตุนั้นไม่มีชื่อเป็นภาษาละติน ให้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ โดยมีหลักการเขียนสัญลักษณ์ เหมือนเดิม เช่น ธาตุคาร์บอน ชื่อภาษาอังกฤษ Carbon สัญลักษณ์ของธาตุ คือ C

    วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

    เนื้อหาสูตรเคมี

     สูตรเคมี  หมายถึง สัญลักษณ์ที่ใช้เขียนแทนธาตุหรือสารประกอบเพื่อแสดงองค์ประกอบ ของสารเหล่านั้นว่าประกอบด้วยธาตุใดบ้างอย่างละเท่าใดหรือเป็นอัตราส่วนเท่าใด  สูตรบางประเภทยังให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเรียงอะตอมภายในโมเลกุลด้วย

      สูตรเคมีแบ่งเป็น  3  ประเภท คือ
    1.  สูตรโมเลกุล (Molecular)  เป็นสูตรที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงให้ทราบว่าสารนั้น  1  โมเลกุลประกอบด้วย ธาตุใดบ้างอย่างละกี่อะตอม  เช่น

        น้ำ  มีสูตรโมเลกุลเป็น  H2O   หมายความว่า น้ำ  1  โมเลกุล ประกอบด้วยไฮโดรเจน  2  อะตอม และ ออกซิเจน  1  อะตอม
        เอทานอล  มีสูตรโมเลกุลเป็น  C2H6O   หมายความว่า เอทานอล  1  โมเลกุล ประกอบด้วย
    คาร์บอน  2  อะตอม  ไฮโดรเจน  6  อะตอม และ ออกซิเจน  1  อะตอม
        กรดซัลฟิวริก  มีสูตรโมเลกุลเป็น  H2SO4   หมายความว่า กรดซัลฟิวริก  1  โมเลกุล ประกอบด้วย
               ไฮโดรเจน  2  อะตอม , ซัลเฟอร์  1  อะตอม และ ออกซิเจน  4  อะตอม
        แคลเซียมฟอสเฟต  มีสูตรโมเลกุลเป็น  Ca3(PO4 )2  หมายความว่า แคลเซียมฟอสเฟต  1  โมเลกุล  ประกอบด้วยแคลเซียม 3 อะตอม , ฟอสฟอรัส  1 X 2  =2 อะตอม และ ออกซิเจน  4 X 2 =8 อะตอม

     ตัวอย่างอื่น ๆ ของสูตรโมเลกุล ได้แก่
    น้ำตาลกลูโคส   มีสูตรโมเลกุล         C6H12O6
      น้ำ          มีสูตรโมเลกุล         H2O
      โพรเพน   มีสูตรโมเลกุล         C3H8
      เบนซีน    มีสูตรโมเลกุล         C6H6
    2.  สูตรเอมพิริคัลหรือสูตรอย่างง่าย (Empirical  formular)  เป็นสูตรที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงให้ทราบว่า
    สารนั้นประกอบด้วยธาตุใดบ้าง  ขณะเดียวกันก็ยังแสดงอัตราส่วนอย่างต่ำที่สุดของจำนวนอะตอมที่ปรากฏในสูตรนั้นด้วย  ส่วนใหญ่ใช้แสดงสูตรของสารประกอบไอออนิกซึ่งไม่มีสูตรโมเลกุลที่แน่นอน 

         เช่น  โซเดียมคลอไรด์มีสูตรเป็น   NaCl
         นอกจากนี้ยังอาจใช้แสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของสารโคเวเลนต์ด้วย
         เช่น  ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์   มีสูตรเป็น   H2O2   มีสูตรเอมพิริคัลเป็น   HO
           กรดซัลฟิวริก  มีสูตรโมเลกุลเป็น  H2SO4   หมายความว่า กรดซัลฟิวริก  1  โมเลกุลประกอบด้วย
     ธาตุ  H ,  S  และ  O โดยมีอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนอะตอม  H  :  S  : O =  2 : 1 : 4
     น้ำตาลกลูโคส  มีสูตรโมเลกุลเป็น  C6H12O6   หมายความว่า   น้ำตาลกลูโคส  1  โมเลกุล      ประกอบด้วย
     ธาตุ  C ,  H  และ  O โดยมีอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนอะตอม  C  : H  : O  =  1  :  2  :  1
     เอทานอล  มีสูตรโมเลกุลเป็น  C2H6O   หมายความว่า  เอทานอล  1  โมเลกุล ประกอบด้วย
    ธาตุ  C ,  H  และ  O โดยมีอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนอะตอม C  :  H  :  O  =  2  :  6  :  1

    ตัวอย่างของสูตรเอมพิริคัล ได้แก่
    น้ำตาลกลูโคส   มีสูตรเอมพิริคัล         CH2O
    น้ำ                  มีสูตรเอมพิริคัล         H2O
    โพรพีน            มีสูตรเอมพิริคัล         CH2
    เบนซีน            มีสูตรเอมพิริคัล         CH
     สูตรโมเลกุลเป็นสูตรที่แสดงจำนวนอะตอมทั้งหมดใน  1  โมเลกุล  ในขณะที่สูตร
    เอมพิริคัลแสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวนอะตอมใน  1  โมเลกุล  จะเห็นได้ว่าถ้าหากทราบสูตรโมเลกุลจะทำให้ทราบสูตรเอมพิริคัล  เนื่องจากสูตรทั้งสองประเภทมีส่วนสัมพันธ์กันดังนี้
     สูตรโมเลกุล     =    (สูตรเอมพิริคัล) n   เมื่อ  n  คือเลขจำนวนเต็ม  =  1, 2, 3, 4…..
           
    3.  สูตรโครงสร้าง (Structural  formular)   เป็นสูตรที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงให้ทราบว่าสารนั้น  1  โมเลกุล  ประกอบด้วย   
    ธาตุใดบ้างอย่างละกี่อะตอม และอะตอมใดเกาะเกี่ยวอยู่กับอะตอมใดด้วยพันธะชนิดใด

     ตัวอย่าง     O = C = O  เป็นสูตรโครงสร้างของคาร์บอนไดออกไซด์  (CO2)  ซึ่งบอกให้ทราบว่าหนึ่งโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์   ประกอบด้วย C 1 อะตอม และ O 2  อะตอม  ระหว่าง  C  และ  O  ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ชนิดพันธะคู่

    สารประกอบเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนอนุภาคมูลฐานภายในอะตอม เพื่อให้อยู่ในสภาพที่เสถียรหรือสมดุล จึงเกิดเป็นโมเลกุลและสูตรสารเคมีต่างๆ ดังภาพ 
     การเกิดโมเลกุลของสารประกอบ
                 สารประกอบชนิดหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องมีอัตราส่วนของธาตุที่เป็นองค์ประกอบคงที่ จึงกลายเป็นสูตรเคมีที่ลงตัว เช่น
                น้ำ (H2O) ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยมีอัตราส่วนโดยอะตอมของ  H : O = 2 : 1, มีอัตราส่วนโดยมวลของ  H : O = 1 : 8 และ มีอัตราส่วนโดยปริมาตรของ  H : O = 2 : 1
                คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนและออกซิเจน โดยมีอัตราส่วนโดยอะตอมของ  C : O = 1 : 2 และ มีอัตราส่วนโดยมวลของ  C : O = 3 : 8
     
                 ดังนั้น สูตรเคมี คือ กลุ่มของสัญลักษณ์ธาตุที่เขียนขึ้นเพื่อแสดงจำนวนอะตอมของธาตุที่เป็นองค์ประกอบของสาร สูตรเคมีที่แสดงชนิดของธาตุและจำนวนอะตอมที่เป็นองค์ประกอบใน 1 โมเลกุล เรียกว่า "สูตรโมเลกุล" ดังตัวอย่างสูตรโมเลกุลของสารประกอบต่อไปนี้ ตัวอย่างสูตรโมเลกุลของสารประกอบ
    ชื่อสามัญ
    ชื่อทางเคมี
    สูตรเคมี
    องค์ประกอบ
    น้ำ
    ไฮโดรเจนไดออกไซด์
    H2O
    ธาตุ H = 2 อะตอม และ O = 1 อะตอม
    โซดาไฟ
    โซเดียมไฮดรอกไซด์
    NaOH
    ธาตุ Na = 1 อะตอม, O = 1 และ H = อะตอม
    ผงฟู
    โซเดียมไบคาร์บอเนต
    NaHCO3
    ธาตุ Na = 1 อะตอม, H = 1อะตอม, C = 1 อะตอม และ O = 3อะตอม
    กรดเกลือ
    ไฮโดรคลอริก
    HCl
    ธาตุ H = 1 อะตอม และ Cl =1 อะตอม
    กรดกำมะถัน
    ซัลฟิวริก
    H2SO4
    ธาตุ H = 2 อะตอม, S = 1 อะตอมและ O = 4 อะตอม
    ปูนขาว (ปูนดิบ)
    แคลเซียมออกไซด์
    CaO
    ธาตุ Ca = 1 อะตอม และ O = 1 อะตอม
    หินปูน
    แคลเซียมคาร์บอเนต
    CaCO3
    ธาตุ Ca = 1 อะตอม, C = 1อะตอม และ O = อะตอม
    ดินประสิว
    โพแทสเซียมไนเตรต
    KNO3
    ธาตุ K = 1 อะตอม, N = 1 อะตอม และ O = อะตอม
    ด่างทับทิม
    โพแทสเซียมเปอร์-
    แมงกาเนต
    KMnO4
    ธาตุ K = 1 อะตอม, Mn = 1อะตอม และ O = 4 อะตอม